โรคคางทูม คืออะไร สาเหตุ อาการ การรักษา ?

โรคคางทูม โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจที่ส่งผลให้คางมีอาการบวมและทูมออกมา อีกหนึ่งโรคชื่อดังของเมืองไทยที่เชื่อว่าใครหลายคนน่าจะต้องรู้จักกันเป็นอย่างดี เนื่องจากว่าโรคๆนี้มักพบมากในช่วงวัยเด็กทั้งเพศหญิงและเพศชาย จึงทำให้คนส่วนใหญ่คุ้นหน้าคุ้นตาหรือผ่านการพบเจอกับโรคกันมาบ้างแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นหลายคนก็อาจจะรู้จักแค่เพียงผิวเผินไม่ได้รู้ว่าจริงๆ โรคคางทูมนั้นคืออะไร ดังนั้นวันนี้เราก็เลยจะพาทุกคนไปรู้จักโรคๆนี้ให้มากขึ้นกันค่ะ 

รู้จัก โรคคางทูม โรคติดต่อทางเดินระบบหายใจที่อันตรายกว่าที่คิด

โรคคางทูม

โรคคางทูม คือ โรคที่ถือว่ามีสาเหตุกันนั้นมากจาการที่ได้ติดสิ่งที่เป็นพวกเชื้อไวรัสกันไปชนิดหนึ่งในกลุ่ม Paramyxovirus ที่ทำให้เกิดการอักเสบในบริเวณของต่อมน้ำลายขึ้น เป็นโรคที่ได้ทำการติดต่อกันไปในทางด้านของระบบหายใจที่ถือว่าเป็นการเฉียบพลันกันเลยที่มันนั้นสามารถที่จะทำการติดกันไปได้จากคนสู่คนได้ผ่านการสัมผัสละอองน้ำลายของผู้ป่วยติดเชื้อ กล่าวคือ จากการจามหรือไอ แล้วเราสูดดมเข้าไป ซึ่งมันจะทำให้ไวรัสดังกล่าวเดินทางผ่านระบบทางเดินหายใจไปยังยังต่อมน้ำลาย ซึ่งเมื่อต่อมน้ำลายเกิดการอักเสบมันจึงส่งผลให้เกิดการบวมแดงและมีอาการเจ็บได้นั่นเอง โรคคางทูมนั้นมักพบมากในผู้ที่มีอายุน้อยไม่ว่าจะเพศหญิงหรือเพศชายตั้งแต่ช่วง 6-10 ปี ซึ่งในสมัยก่อนนั้นจัดได้ว่าเป็นโรคที่พบได้บ่อยในวัยเด็กแต่ในยุคนี้นั้นสามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน แนวโน้มการเป็นโรคจึงน้อยลง

โรคคางทูม

อาการของโรคคางทูมนั้นผู้ป่วยจะมีแสดงโรคดังนี้ คือ เหนื่อยล้าและอ่อนเพลีย มีไข้ขึ้นสูง คางทูมและบวมแดงที่บริเวณของทางด้านขากรรไกรกันไปเลยทั้งสองข้าวหรือข้างเดียว ปวดข้างแก้มใกล้บริเวณใบหู ปากแห้ง รู้สึกปวดเมื่อยตามข้อต่างๆ รวมไปถึงปวดศีรษะ กลืนน้ำลายยากและมีอาการเบื่ออาหาร นอกจากนี้ผู้ป่วยบางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น มีภาวะอัณฑะอักเสบ เหยื่อหุ้มของสมองนั้นมีการอักเสบ อาการอื่นๆเกี่ยวกับระบบประสาท โรคสมองอักเสบ เป็นต้นสำหรับการรักษาโรคคางทูมนั้นในปัจจุบันยังไม่ถือว่ามีสิ่งที่เป็นวิธีการที่จะรักษากันไปของตัวโรคกันเลยแบบว่าโดยเฉพาะ

โรคคางทูม

จะเป็นเพียงการรักษาไปตามอาการ กล่าวคือ การประคบร้อนหรือเย็น   การใช้ยาพาราเซตามอลช่วยลดอาการปวด นอกจากนี้ก็จะเป็นการทำให้ระบบของทางด้านภูมิคุ้มกันของทางด้านร่างกายนั้นมีการแข็งแรง เช่น การดื่มน้ำสะอาด การนอนหลับอย่างเพียง เป็นต้น ส่วนการป้องกันโรคนั้นในปัจจุบันสามารถใช้วัคซีนป้องกันโรคได้ โดยจะเป็นการฉีดวัคซีนตามกำหนดของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะมีทั้งหมด 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกตอนเด็กอายุ 9-12 เดือน และครั้งที่สองตอนอายุ 2ปีครึ่ง หรือช่วง 4-6 ปี และห้ามพลาด 123bet  เว็บพนันออนไลน์ อันดับ 1 ในเอเชีย มั่นคง เชื่อถือได้ จ่ายจริง เดิมพันง่าย รวยไว ปลอดภัย มีรางวัลมากมาย

ติดตามข้อมูล เคล็ดของการมีสุขภาพที่ดี และเนื้อหาบทความ รุ้ทันโรค ให้คุณได้ติดตามที่นี่